สรุปวิธีประเมินผู้บริหาร และวิธีที่ผู้บริหาร ใช้ยักยอกเงินออกไปจากบริษัทตัวเอง /โดย ลงทุนแมน

สรุปวิธีประเมินผู้บริหาร และวิธีที่ผู้บริหาร ใช้ยักยอกเงินออกไปจากบริษัทตัวเอง /โดย ลงทุนแมน เวลามีข่าวการทุจริต ในวงการตลาดหุ้น “ผู้บริหาร” มักจะกลายเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ถูกเพ่งเล็งจากทุกฝ่าย เพราะผู้บริหาร คือผู้กุมบังเหียน ที่คอยกำหนดทิศทาง และความเป็นไปของบริษัท ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ถ้าไม่อยากขาดทุน หรือถูกโกง แล้วเราในฐานะนักลงทุน จะวิเคราะห์ผู้บริหารได้อย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ╔═══════════╗ ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ เวลานักลงทุนวิเคราะห์บริษัท ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ จะนิยมวิเคราะห์จากมุมของความแข็งแกร่งของธุรกิจ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ไปจนถึงวิเคราะห์งบการเงิน การเติบโตของรายได้ กำไร และกระแสเงินสด อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์บริษัท จากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ก็เหมือนเรากำลังมองจากกระจกเงาที่สะท้อนผู้บริหารอยู่ ซึ่งถ้าหากผู้บริหาร คิดจะตกแต่งให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ก็ย่อมทำได้ไม่ยาก เพราะก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้จะมาถึงเรา ผู้บริหาร คือกลุ่มคนที่เห็นข้อมูลเหล่านี้ กลั่นกรอง และสรุปออกมาให้เราได้เห็น แม้แต่บทวิเคราะห์ ที่ถูกกลั่นกรองจากผู้เชี่ยวชาญ ก็อาจเต็มไปด้วยข้อมูลที่ปรุงแต่งมาให้ผิดเพี้ยนหรือเกินจริงได้ ในการวิเคราะห์บริษัท เราจึงควรมองไปยังตัวผู้บริหารโดยตรงด้วย เพื่อให้เป็นการตอกย้ำว่า เงาที่สะท้อนออกมาจากกระจกนั้น เป็นจริงแค่ไหน แล้วเราจะวิเคราะห์ผู้บริหารได้อย่างไร ? การวิเคราะห์ผู้บริหารนั้น ไม่มีหลักการที่ตายตัว แต่อย่างน้อยที่สุด ผู้บริหารที่ดี ก็ควรมีคุณสมบัติดังนี้ 1. ไม่มีประวัติที่ไม่ดี หรือไม่ชอบมาพากล 2. มีความรู้และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ 3. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง เริ่มกันที่ข้อแรก ผู้บริหารที่ดี.. ต้องไม่มีประวัติที่ไม่ดี ข้อนี้ก็ตรงไปตรงมาเลยว่า ผู้บริหารของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่นั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดอย่าง CEO ไม่ควรจะมีประวัติด่างพร้อย ในเรื่องของการทุจริต หรือปั่นหุ้นใด ๆ เลย โดยเราสามารถหาข้อมูลได้ จากการค้นหาในอินเทอร์เน็ต ว่าผู้บริหารของบริษัทที่เรากำลังสนใจ เคยมีข่าวการเข้าไปพัวพันกับการทุจริตต่าง ๆ หรือการปั่นหุ้น ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากผู้บริหารคนนั้น เคยมีตำหนิแล้วละก็ เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทนั้น หรืออย่างน้อยก็ควรจะตั้งธงเฝ้าระวังไว้ มาถึงข้อที่สอง ก็คือผู้บริหาร ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ที่ตนเองบริหารอยู่ และสามารถทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ โดยเรื่องนี้ เราสามารถดูได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารในอดีต ผ่านการประชุมผู้ถือหุ้น, งาน Oppday หรือแม้แต่การให้สัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ ที่แสดงออกมาผ่านผลประกอบการของบริษัท ว่าผู้บริหาร ทำสิ่งที่เคยให้สัมภาษณ์ได้มากน้อยแค่ไหน และถ้าทำไม่ได้ตามเป้า ผู้บริหารได้มีการสื่อสารเรื่องนั้นอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ มาถึงข้อสุดท้าย นั่นก็คือเรื่องของพฤติกรรมผู้บริหาร ผู้บริหาร ก็คือลูกจ้างของผู้ถือหุ้น เพราะฉะนั้น ผู้บริหารที่ดี ควรโฟกัสเฉพาะในเรื่องของการทำธุรกิจ และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกคน แต่ที่ผ่านมา กลับมีผู้บริหารบางคน ใช้ตำแหน่งในการสร้างผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ซึ่งในท้ายที่สุด ก็มักจบไม่สวยนัก โดยเฉพาะกับผู้ถือหุ้น แล้วพฤติกรรมของผู้บริหารแบบไหน ที่เราควรระวัง ? - ซื้อสินทรัพย์แปลก ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ตัวอย่างเช่น บริษัท A ทำธุรกิจสื่อ แต่ผู้บริหารกลับนำเงินของบริษัท ไปซื้อที่ดินในราคาสูง ซึ่งวิธีการนี้ เป็นวิธีการยอดนิยมในการพร่องเงินออกจากบริษัท นอกจากนี้ ยังรวมถึงกรณีที่ผู้บริหาร ใช้เงินของบริษัทซื้อสินทรัพย์ไว้ใช้ส่วนตัว เช่น คอนโดมิเนียมหรู หรือรถยนต์หรู หรือกรณี ซื้อทรัพย์สินหรือกิจการ ที่แพงเกินไป ไม่สมเหตุสมผล และไม่คุ้มค่าในเชิงการลงทุน รวมไปถึงกรณีผู้บริหารประกาศเพิ่มทุนถี่ เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการ-ธุรกิจต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ แต่สุดท้ายก็ขาดทุนเป็นประจำ - เพิ่มทุนหรือกู้เงินเพื่อลงทุน แต่ยกเลิกกะทันหัน เวลาบริษัทต้องการจะลงทุนโครงการใหม่ ๆ หรือแม้แต่ซื้อกิจการอื่น ถ้าหากว่าเงินสดของบริษัทมีไม่เพียงพอ ก็มักตามมาด้วยการเพิ่มทุนหรือกู้เงิน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง บริษัทอาจมีการยกเลิกดีลที่ประกาศไว้อย่างกะทันหัน โดยอาจจะอ้างว่าดีลไม่มีความคุ้มค่า ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง ผู้บริหารก็ควรชำระหนี้เงินกู้คืน หรือแม้แต่นำเงินที่เพิ่มทุนมาทำการจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน เสมือนกับว่าเป็นการคืนเงินส่วนนั้นให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้น แต่ถ้าหากผู้บริหาร แสดงท่าทีนิ่งเฉยกับเงินก้อนนั้น ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า ผู้บริหารกำลังใช้เงินผิดจุดประสงค์ และอาจมีจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ได้ทำเพื่อผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเงินตัวจริง.. - ปล่อยกู้เงินแก่บริษัทอื่น ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การปล่อยกู้เงินถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องดูว่าผู้ที่กู้เงินนั้น “เป็นใคร” ซึ่งถ้าหากผู้กู้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัท รวมถึงไม่ใช่บริษัทลูก เราก็ควรจะระวังไว้ว่า อาจมีการไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทเข้าแล้ว.. นอกจากนี้ หากบริษัทมีการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ระยะยาว, อสังหาฯ, หุ้นสามัญ เราก็ควรจะพิจารณาว่า มีสัดส่วนมากเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับเงินสดที่บริษัทมีอยู่ เพราะแม้ว่าผู้บริหารจะไม่ได้ตั้งใจโกงเงินจากการลงทุน แต่สุดท้ายแล้ว สภาพคล่อง คือสิ่งที่ทำให้บริษัทเดินต่อไปได้ แม้ผลประกอบการจะขาดทุนก็ตาม - มีการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างผิดหูผิดตา ในยุคนี้หลาย ๆ บริษัท เลือกที่จะเจาะตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ สร้างการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งก็มักมีการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น ที่ดิน, อาคาร, เครื่องจักร เพื่อใช้ในธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจว่า สินทรัพย์ที่อยู่ในต่างประเทศเหล่านี้ อาจเล็ดลอดการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีไปได้ และอาจเป็นช่องทางหนึ่ง ในการพร่องเงินออกจากบริษัท ถ้าหากบริษัทที่เราสนใจ มีการใช้เงินซื้อหรือลงทุน กับสินทรัพย์และธุรกิจที่อยู่ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นแบบผิดหูผิดตา โดยเฉพาะในประเทศแปลก ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย หรือติดตามข่าวสารได้ยาก เราก็ควรจะสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น - ให้ความสำคัญกับราคาหุ้น มากจนเกินไป หน้าที่ของผู้บริหาร คือการบริหารธุรกิจ ซึ่งถ้าหากธุรกิจมีรายได้และกำไรเติบโต ก็จะนำมาซึ่งมูลค่าบริษัท ที่เพิ่มมากขึ้นเอง เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริหารออกมาให้ข่าว สร้างเรื่องราวการเติบโตของบริษัท ชนิดที่เกินความเป็นจริงมากเกินไป ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผู้บริหารคนนั้น กำลังชี้นำราคาหุ้นอยู่ ซึ่งในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริหาร เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตเอง โดยดูได้จากข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัท งบการเงิน รายงานประจำปี ตลอดจนการให้สัมภาษณ์ของตัวผู้บริหาร ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น ในการวิเคราะห์ผู้บริหาร เราอาจพิจารณาผู้บริหารได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ที่สำคัญคือ นอกจากวิเคราะห์เรื่องความเสี่ยงของพฤติกรรมผู้บริหารแล้ว เราต้องดูให้ครบว่า ผู้บริหารเก่งจริงหรือไม่ และส่อแววทุจริตหรือเปล่า เพราะต่างก็สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นได้เช่นเดียวกัน แล้วถ้าผู้บริหารที่เราวิเคราะห์ ดูแล้วเข้าข่ายเรื่องที่กล่าวไป นักลงทุนก็ควรเพิ่มค่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนนั้นไปด้วย สิ่งที่นักลงทุนควรจำไว้เสมอ เมื่อต้องวิเคราะห์ผู้บริหาร นั่นก็คือ “ไม่ว่าผู้บริหารจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ เราก็ควรหลีกเลี่ยง” ดังที่เซียนมี่ หรือคุณทิวา ชินธาดาพงศ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์.. น่ากลัวที่สุด” ทีนี้ถ้าถามว่า ในเรื่องของการทุจริต มีวิธีอะไรบ้าง ที่ผู้บริหารบริษัท สามารถใช้ยักยอกเงินออกไปจากบริษัทตัวเอง ? เพื่อที่เราในฐานะนักลงทุน จะสามารถรู้และใช้สแกนผู้บริหารได้ โดยผู้บริหารหรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการในบริษัท อาจใช้ช่องทางต่าง ๆ ในการยักยอกเงินออกจากบริษัทที่ตนเองทำงานให้ โดยวิธีที่พบได้บ่อย มีดังนี้ 1. การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัวจากบริษัท เช่น ค่ารถส่วนตัว, ค่าที่พักอาศัย, ค่าอาหารการกินเลี้ยง โดยที่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือเบิกค่าใช้จ่ายเกินจริง 2. การสร้างรายการค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินเท็จ แล้วยักยอกเงินออกจากบริษัท เช่น ค่าจ้างที่ปรึกษา, ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องจักร, ค่าจัดซื้อวัตถุดิบ โดยที่ไม่มีการดำเนินการ หรือการส่งมอบวัตถุดิบจริง ๆ 3. การสร้างรายได้ปลอมของบริษัท เช่น ยอดขายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง, ลูกหนี้การค้าปลอม เพื่อให้ผลประกอบการดูดีเกินจริง แล้วจ่ายผลตอบแทนแก่ตนเอง ในรูปแบบโบนัส เป็นต้น 4. การรับสินบนหรือค่านายหน้าพิเศษ ทั้งในรูปแบบเงินหรือสินทรัพย์ ตลอดจนผลประโยชน์อื่น ๆ จากคู่ค้าของบริษัท และใช้อำนาจของตน ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่ค้าดังกล่าว 5. การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ภายในบริษัท เช่น ให้ข้อมูลการประมูลล่วงหน้า, การล็อกสเป็ก และการรับสินบนจากผู้ประมูล 6. การขายทรัพย์สินของบริษัท ให้แก่บริษัทของตนเอง หรือพวกพ้อง ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก หรือแม้แต่โอนให้ฟรี ๆ 7. การจัดตั้งบริษัทลูก หรือบริษัทของตนขึ้น เพื่อรับเงินจากบริษัทแม่ โดยอาจเป็นการรับงานจากบริษัทแม่ หรือขายสินค้า-ทรัพย์สินแก่บริษัทแม่ ในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อพร่องเงินออกจากบริษัทแม่ 8. การใช้อำนาจหน้าที่ ในการสั่งการหรืออนุมัติให้บริษัทจ่ายเงิน ไปจนถึงการปล่อยกู้เงิน ไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นโดยไม่สมเหตุสมผล เช่น ปล่อยกู้แก่บริษัทส่วนตัวของผู้บริหาร หรือญาติของผู้บริหาร ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ต่ำมาก ๆ หรือไม่คิดดอกเบี้ยเลย.. โดยวิธีการเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของการฉ้อโกง ที่ล้วนเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของผู้บริหาร ซึ่งมักกลายมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทล้มได้ แม้จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม.. ที่สำคัญ ยังถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งในแง่ของจรรยาบรรณ และสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายด้วย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีตัวอย่างของการกระทำเหล่านี้ ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งนักลงทุนก็ควรจะระมัดระวังการลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารเหลี่ยมหรือไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนของเรา ต้องสูญหายไปอย่างน่าเจ็บใจ.. ╔═══════════╗ ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman Reference - รายการคุยกับมี่ลงทุนวันนี้มีอะไร EP12 : การวิเคราะห์ผู้บริหาร - Money Chat Thailand!

1 ความคิดเห็น:

  1. เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริหารออกมาให้ข่าว สร้างเรื่องราวการเติบโตของบริษัท ชนิดที่เกินความเป็นจริงมากเกินไป
    ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผู้บริหารคนนั้น กำลังชี้นำราคาหุ้นอยู่

    ซึ่งในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริหาร เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตเอง

    โดยดูได้จากข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัท งบการเงิน รายงานประจำปี ตลอดจนการให้สัมภาษณ์ของตัวผู้บริหาร

    ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น ในการวิเคราะห์ผู้บริหาร เราอาจพิจารณาผู้บริหารได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ที่สำคัญคือ นอกจากวิเคราะห์เรื่องความเสี่ยงของพฤติกรรมผู้บริหารแล้ว เราต้องดูให้ครบว่า ผู้บริหารเก่งจริงหรือไม่ และส่อแววทุจริตหรือเปล่า เพราะต่างก็สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นได้เช่นเดียวกัน

    แล้วถ้าผู้บริหารที่เราวิเคราะห์ ดูแล้วเข้าข่ายเรื่องที่กล่าวไป นักลงทุนก็ควรเพิ่มค่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนนั้นไปด้วย

    สิ่งที่นักลงทุนควรจำไว้เสมอ เมื่อต้องวิเคราะห์ผู้บริหาร นั่นก็คือ “ไม่ว่าผู้บริหารจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ เราก็ควรหลีกเลี่ยง”

    ดังที่เซียนมี่ หรือคุณทิวา ชินธาดาพงศ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์.. น่ากลัวที่สุด”

    ทีนี้ถ้าถามว่า ในเรื่องของการทุจริต มีวิธีอะไรบ้าง ที่ผู้บริหารบริษัท สามารถใช้ยักยอกเงินออกไปจากบริษัทตัวเอง ?
    เพื่อที่เราในฐานะนักลงทุน จะสามารถรู้และใช้สแกนผู้บริหารได้

    โดยผู้บริหารหรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการในบริษัท อาจใช้ช่องทางต่าง ๆ ในการยักยอกเงินออกจากบริษัทที่ตนเองทำงานให้ โดยวิธีที่พบได้บ่อย มีดังนี้

    1. การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัวจากบริษัท เช่น ค่ารถส่วนตัว, ค่าที่พักอาศัย, ค่าอาหารการกินเลี้ยง โดยที่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือเบิกค่าใช้จ่ายเกินจริง

    2. การสร้างรายการค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินเท็จ แล้วยักยอกเงินออกจากบริษัท เช่น ค่าจ้างที่ปรึกษา, ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องจักร, ค่าจัดซื้อวัตถุดิบ โดยที่ไม่มีการดำเนินการ หรือการส่งมอบวัตถุดิบจริง ๆ

    3. การสร้างรายได้ปลอมของบริษัท เช่น ยอดขายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง,
    ลูกหนี้การค้าปลอม
    เพื่อให้ผลประกอบการดูดีเกินจริง
    แล้วจ่ายผลตอบแทนแก่ตนเอง ในรูปแบบโบนัส เป็นต้น

    4. การรับสินบนหรือค่านายหน้าพิเศษ ทั้งในรูปแบบเงินหรือสินทรัพย์ ตลอดจนผลประโยชน์อื่น ๆ จากคู่ค้าของบริษัท และใช้อำนาจของตน ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่ค้าดังกล่าว

    5. การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ภายในบริษัท เช่น ให้ข้อมูลการประมูลล่วงหน้า, การล็อกสเป็ก และการรับสินบนจากผู้ประมูล

    6. การขายทรัพย์สินของบริษัท ให้แก่บริษัทของตนเอง หรือพวกพ้อง ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก หรือแม้แต่โอนให้ฟรี ๆ

    7. การจัดตั้งบริษัทลูก หรือบริษัทของตนขึ้น เพื่อรับเงินจากบริษัทแม่ โดยอาจเป็นการรับงานจากบริษัทแม่ หรือขายสินค้า-ทรัพย์สินแก่บริษัทแม่ ในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อพร่องเงินออกจากบริษัทแม่

    8. การใช้อำนาจหน้าที่ ในการสั่งการหรืออนุมัติให้บริษัทจ่ายเงิน ไปจนถึงการปล่อยกู้เงิน ไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นโดยไม่สมเหตุสมผล

    เช่น ปล่อยกู้แก่บริษัทส่วนตัวของผู้บริหาร หรือญาติของผู้บริหาร ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ต่ำมาก ๆ หรือไม่คิดดอกเบี้ยเลย..

    โดยวิธีการเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของการฉ้อโกง ที่ล้วนเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของผู้บริหาร ซึ่งมักกลายมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทล้มได้ แม้จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม..

    ที่สำคัญ ยังถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งในแง่ของจรรยาบรรณ และสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายด้วย

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีตัวอย่างของการกระทำเหล่านี้ ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ

    ซึ่งนักลงทุนก็ควรจะระมัดระวังการลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารเหลี่ยมหรือไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนของเรา ต้องสูญหายไปอย่างน่าเจ็บใจ..
    ╔═══════════╗

    ตอบลบ

คนตื่นพระ -พระพุทธ -พระธรรม-พระสงฆ์ วัฒนธรรมท้องถิ่นไทย

หลวงพ่อมหากฤชวัฒน์ ปัญญาวุโธ ประธานสงฆ์ในพิธีทางศาสนา ทำบุญขบวนแห่ผ้าห่มองค์พระเจดีย์วัดกะโลทัย ปีที่ 15 โดย นายวุฒิ​ชัย​ ศุ​ภ​อรรถ​พา​นิช​ นายก​เทศมนตรี​เมือง​กำแพงเพชร​

วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 หลวงพ่อมหากฤชวัฒน์ ปัญญาวุโธ ประธานสงฆ์ในพิธีทางศาสนา ทำบุญขบวนแห่ผ้าห่มองค์พระเจดีย์วัดกะโลทัย ปีที่ 15 โดย นา...

งานประชาสัมพันธ์ ผลงาน ท่านหลวงพ่อพระมหากฤชวัฒน์ ปัญญาวุโธ